
ถ้าอยากประสบความสำเร็จ
อยากฝากบทความดีๆบทนี้ ที่มีผู้ประสบความสำเร็จในระดับที่สามารถสร้างเงินได้ในหลัก หลายสิบล้านบาท ต่อปี
เมื่อ 50 ปีที่แล้ว เขาได้อ่านบทความนี้อยู่ทุก ๆ เช้าในแต่ละวัน
คุณเป็นคนเคยอวดอ้างว่าสักวันหนึ่ง…….
คุณจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
การที่คุณอวดอ้างเช่นนั้น
ความจริงก็ปรารถนาเพียงเพื่อ…….
จะแสดงว่า……คุณมีความรู้มากเพียงไร….และคุณจะไปได้ไกลแค่ไหน
นี่ปีหนึ่งก็ได้ผ่านไปแล้ว
คุณมีความคิดเห็นใหม่ๆอย่างไรบ้าง
คุณได้สร้างสรรค์งานที่สำคัญมากน้อยเพียงไร
ตลอด……สิบสองเดือนที่ได้ผ่านมาแล้วนี่
มีสักกี่เดือนที่คุณได้ประสบความสำเร็จ
และพร้อมที่จะตั้งต้นใหม่อีก
หรือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
เราหาไม่พบชื่อคุณในบัญชีรายชื่อผู้ที่ตั้งตัวได้
ไหนลองอธิบายข้อเท็จจริงในเรื่องนี้สักหน่อย
ความล้มเหลวของคุณนั้นมิได้เป็นเพราะคุณไม่มีโอกาสหรอก
แต่เป็นเพราะ………คุณไม่ยอมลงมือทำต่างหาก
ฉะนั้น….อย่ารีรอ เรามาเริ่มสร้างธุรกิจกันเถอะ การสร้างธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตาม สิ่งแรกที่จะต้องทำหรือเรียนรู้เป็นอย่างแรกก็คือ “ การขาย “ แต่ถ้าบอกว่า ไม่ชอบการขาย แต่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็ขอให้ลืมความคิดที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้เลย แม้กระทั่งหมอที่เปิดคลินิก ยังต้องขายความชำนาญเฉพาะด้านที่เขาได้ร่ำเรียนมาในการรักษาคนไข้ ร้านก๋วยเตี๋ยวยังต้องขายความอร่อยและความสะอาดของมันเลย ถ้าอยากมีกิจการเป็นของตนเอง ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการขาย ซึ่งหลักการต่างๆเหล่านี้จะทำให้สามารถนำพาธุรกิจที่สร้างขึ้นมา ก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
การขายในที่นี้ถ้าในเชิงหลักจิตวิทยาก็คือการโน้มน้าวจิตใจคนนั่นเองถ้าเปลี่ยนจากคำว่า ” การขาย” มาเป็นคำว่า “ศิลปะการโน้มน้าวจิตใจคน “ ก็จะรู้สึกว่ามันน่าสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหม ? เพราะเวลาพูดถึงการขายทีไร มีแต่คนส่ายหัวแล้วไม่เอาด้วยเป็นส่วนมาก ทั้ง ๆ ที่สองคำนี้โดยความหมายมันต่างกัน แต่โดยผลของมันแล้ว ไม่ได้ต่างอะไรกันหรอก เพียงแต่เราคิดไปเองเท่านั้น การขายคือ การที่ทำให้ผู้มุ่งหวังของคุณซื้อสินค้าของคุณ ส่วนการโน้มน้าวจิตใจคนก็คือ การทำให้คนที่คุณสนทนาด้วยเชื่อในความคิดคุณ
หากอยากทำธุรกิจอย่างสง่างามโดยที่ไม่ต้องเที่ยวเร่ขายของมีทางเดียวเท่านั้นคือต้องทำให้เขารู้จักเราหรือสินค้าของเรานั่นหมายถึงหลักการตลาดมวลชน ซึ่งถ้าวิเคราะห์ให้ลึก ๆ แล้วก็คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “กฎธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ “ เท่านั้น
กฎธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราพัฒนาไปสู่การเป็น นักโน้มน้าวจิตใจคนที่ยอดเยี่ยม รวมทั้งสามารถนำไปใช้ในหลักการตลาดที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง พูดถึงตรงนี้อาจจะงง ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร
ยกตัวอย่างแบบการตลาดแบบง่ายๆว่านักการตลาดสามารถใช้ประโยชน์จากกฎธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ได้อย่างไร ? ลองตอบคำถามนี้ดูหน่อย
ลองเอาเนื้อสะเต๊กชั้นดีเลิศ ไปขายให้กับคนกินมังสวิรัติ สิ ?
หรือลองเอาน้ำแข็งไปขายให้กับชาวเอสกิโม
คิดว่าคำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไร ต่อให้เป็นนักการตลาดที่สุดยอด หรือนักโน้มน้าวจิตใจคนที่ยอดเยี่ยมเพียงใด หรือสินค้าจะเลอเลิศขนาดไหน คำตอบก็คือ ขายไม่ได้นั่นเอง อย่าว่าแต่ขายไม่ได้เลย ให้ไปฟรี ๆ เขาก็ยังไม่เอาเลย จริงไหมครับ
นักการตลาดมืออาชีพ เขาจะโฟกัสไปที่เป้าหมายของเขาอย่างชัดเจน เขารู้ว่าตลาดของเขาอยู่ที่ไหน และเขายังรู้อีกว่าสินค้าของเขาไม่ได้ต้องการขายให้กับคนทุก ๆ คน ดังนั้นเขาจะเลือกกลุ่มที่เขาต้องการจะขาย แล้วมุ่งไปสู่กลุ่มนั้น
ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ เมอร์ซิเดสเบนซ์ เขาผลิตรถยนต์ออกมาราคาแพง ๆ เขาก็ไม่ได้ต้องการจะขายให้กับคนทุก ๆ คน จริงไหมครับ นักการตลาดที่เข้าใจกฎธรรมชาติที่จริงของมนุษย์เขาจะชี้ให้คุณเห็นว่า ……ทำใมคุณต้องเลือกสินค้าเหล่านั้น? แล้วกลุ่มเป้าหมายของเขาคือใคร? เหตุผลอะไร? ที่เขาต้องซื้อ อย่างเช่น เมอร์ซิเดสเบนซ์ เขาขายอะไร
เขาขายความหรูหราใช่ไหม วอลโว เขาขายอะไร? เขาขายความปลอดภัยใช่ไหม จะเห็นว่าเขาขายรถยนต์เหมือนกัน แต่เขาขายคนละกลุ่มเป้าหมาย คนที่เลือกความหรูหราภูมิฐาน กับคนที่เลือกความปลอดภัย เป้าหมายทางการตลาดของเขาเด่นชัดมาก คิดง่าย ๆ วอลโว่มีแต่รถครอบครัวที่มุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ๆ ในการออกแบบรถยนต์ของเขา เขาไม่เคยผลิตรถสปอร์ตเลย แล้วถ้าเขาผลิตออกมาละ คิดว่าจะเป็นอย่างไร เขาจะขายได้ไหม
คนแต่ละคนมีเป้าหมายและความต้องการในชีวิตที่ไม่เหมือนกันซึ่งจะทำให้มีคำตอบว่าทำไมคนทุกคนจึงไม่ใช่ผู้มุ่งหวังของเรา ดังนั้น การทำธุรกิจหรือสินค้าของเรา ต้องรู้เสียก่อนว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายที่เขาต้องการซื้อสินค้า แล้วทำตลาดไปอย่างตรงเป้าหมาย นั่นหมายถึง เราจะไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินเสียทองไปกับการทำตลาดอย่างผิดเป้าหมาย อีกทั้งเราเองก็จะได้รู้ด้วยว่า ความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมายคืออะไร ผลที่จะได้รับก็คือ สินค้าของเราก็จะกลายเป็นความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย มันจะถูกขายไปโดยง่าย แล้วธุรกิจก็จะเกิดขึ้น คิดว่าการสร้างธุรกิจด้วยแนวความคิดอย่างที่บอกนี้ มันน่าสนใจไหม
สิ่งที่หลายๆคนในแวดวงธุรกิจต่างๆได้พบเจอก็คือการถูกปฏิเสธในสินค้าของเขาจากคนทั่วๆไปที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเขา เสียเงินเสียทองไปกับกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเสียเวลา นั่นเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจความจริงในเรื่องนี้ ความจริงที่ว่าก็คือ ทุกๆคนไม่ใช่ผู้มุ่งหวังของคุณ….. ไม่เว้นแม้กระทั่งคนใกล้ตัวคุณที่สุด
“อย่าลืม ศิลปะการโน้มน้าวจิตใจคนนะ ซึ่งเก่งอยู่แล้ว แต่บางทีอาจจะลืม นี่เป็นกฎพื้นฐาน”